เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ เม.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราฟังธรรมะกันทุกวัน ตอกย้ำแล้วตอกย้ำอีก จิตใจเรายังเร่ร่อนเลยวันนี้วันสงกรานต์วันหยุด เขาให้กลับไปหาครอบครัว เพื่อความกตัญญูกตเวที ให้ครอบครัวอบอุ่นถ้าครอบครัวอบอุ่น ดูสิ พ่อแม่อยู่ที่บ้านละล้าละลังๆ เมื่อไหร่ลูกจะมาเยี่ยมเยียน

ถ้าจิตใจมันอบอุ่น เราอยู่บ้านของเราด้วยความเข้มแข็งเขาออกไปทำมาหากิน เขาถึงเวลาของเขา เขาจะกลับมาหรือไม่กลับมา เขามีธุระปะปังของเขา ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งจิตใจมันอบอุ่นมันอบอุ่นที่ตัวเรามันอบอุ่นที่ตัวเราเพราะว่าอะไรเพราะว่าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีธรรมในหัวใจแล้วมันไม่เร่ร่อนไง

ถ้าคำว่า“เร่ร่อน” ที่ไหนก็เร่ร่อน ถ้าเร่ร่อนจากโลกนะ มาบวชเป็นพระก็เร่ร่อน มาอยู่ปฏิบัติก็เร่ร่อนถ้าคำว่า “เร่ร่อน” แล้ว มันไม่มีจุดยืนของมัน ถ้ามีจุดยืน สิ่งมีชีวิตมีพัฒนาการของมัน สิ่งที่พัฒนาการของมัน มันเจริญเติบโตงอกงามของมัน ดูสิรัฐบุรุษทั้งหลายเวลาเกิดเป็นทารกขึ้นมา เขายังเอาตัวรอดไม่ได้หรอก เด็กทารกถ้ามันเอาตัวรอดเองไม่ได้ต้องมีคนดูแลอบรมมันมา แต่เราโตขึ้นมามีสติปัญญา เป็นรัฐบุรุษนะ เป็นผู้นำนะ นี่เขามีปัญญาของเขามหาศาลเลย มันมาจากไหนล่ะ? มันก็มาจากเราเกิดมาเป็นทารกเหมือนกันนั่นแหละ สิ่งมีชีวิตไงสิ่งมีชีวิตต้องพัฒนาการของมัน ถ้าสิ่งมีชีวิตมีพัฒนาการของมัน มันพัฒนาผ่านอะไร? ผ่านกาลเวลา กาลเวลา วันคืนล่วงไปๆ เราได้พัฒนาขึ้นไหมจิตใจเราได้มั่นคงขึ้นไหมจิตใจเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นไหม

ถ้าฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพราะเราเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของเราไง ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านมีจุดยืนของท่านเวลาปรารถนาสิ้นสุดแห่งทุกข์ท่านปฏิบัติของท่านถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วมันเต็ม มันเต็ม มันพอดีของมัน มันไม่พร่อง ถ้ามันไม่พร่อง มันจะเอาอะไรไปเติมให้มันมากไปกว่านั้น

แต่ถ้าเวลามันพร่องอยู่ความเต็มอันนั้นมันตอกย้ำๆ เราฟังธรรมๆ นะจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นมันเปิดรับหรือเปล่า ถ้าใจดวงนั้นมันเปิดรับขึ้นมา มันต้องพัฒนาของมัน

ความเป็นอยู่ เวลาเราตรากตรำทำหน้าที่การงานของเรา เราทำมาเพื่ออะไร? เพื่อความมั่นคงของชีวิต ทุกคนเกลียดความทุกข์ ปรารถนาความสุข แล้วมันได้ความสุขสมความปรารถนาไหม

เวลาเราพยายามทำหน้าที่การงานของเรา เราทำมาทำมาเพื่อความมั่นคงของชีวิตนะ ถ้ามันมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็อาศัยสิ่งนี้เพื่อดำรงชีวิตไป แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นความสุข ความสุขมันเกิดจากอะไร? ความสุขมันเกิดจากความพอใจ ถ้าเราพอใจ จิตใจนี้มันต่ำทราม จิตใจนี้มันหยาบช้า มันได้สิ่งใดมามันสมความปรารถนาๆ สมความปรารถนาด้วยความสุจริตหรือความทุจริต

ถ้าสมความปรารถนาด้วยความสุจริตคนเรามีอำนาจวาสนา มีธรรมขึ้นมา ทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จในชีวิตของมัน ถ้าประสบความสำเร็จในชีวิต สิ่งนั้นก็เป็นบุญกุศลบุญกุศลนี้ใครกระทำมา ก็จิตดวงนั้นมันสร้างมา ถ้ามันสร้างมา เพราะเราสร้างบุญกุศลมาเราทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ถ้าเราสร้างมาทุกข์ๆยากๆ ครึ่งๆกลางๆ เราทำสิ่งใดก็ขาดตกบกพร่องไปความขาดตกบกพร่องมันเพิ่มความทุกข์ ให้ความทุกข์ เพราะอะไร เพราะเราทำสิ่งใดแล้วเราไม่สมความปรารถนา พอไม่สมความปรารถนา เราก็ว่าเรามีความทุกข์ๆ ความทุกข์มันเกิดจากอะไร? เกิดจากว่าเราไม่เข้าใจจิตใจของเราเอง

ถ้าเราเข้าใจจิตใจของเราเอง เราทำของเรามาเอง เราพอใจ เรายิ้มแย้มแจ่มใสเผชิญกับความจริง เราทำของเรามาเอง ถ้าทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เราก็ประสบความสำเร็จ เพราะบุญกุศล ถ้าทำสิ่งใดแล้วมันขาดตกบกพร่องขึ้นไปก็เพราะเราทำของเรามาเอง เราทำบุญของเรามาเอง เพราะเราได้เกิดเป็นมนุษย์

การเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งมีชีวิตมีพัฒนาการของมัน แม้แต่ใบหญ้ามันมีชีวิตของมัน มันได้ความชื้น มันได้แดดของมัน มันก็งอกงามของมันขึ้นมา มันมีพัฒนาการของมัน พัฒนาการของมันคือว่ามันเปลี่ยนพันธุกรรมของมัน มันดัดแปลงของมันมันแก่กล้าของมันไป เขาฆ่ามันยากขึ้นเรื่อยๆยิ่งถ้ามันพัฒนาของมัน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งมีชีวิตมันยังพัฒนาของมันวิวัฒนาการของมันต้องมีของมันเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เวลาเกิดเป็นมนุษย์จิตนี้สำคัญสำคัญเพราะอะไรเพราะความสุขความทุกข์มันอยู่ที่นี่ ถ้ามันอยู่ที่นี่เวลาพูด พูดอย่างนี้ เวลาความสุขมันอยู่ที่ใจๆ พวกเราก็บอกว่า “มันอยู่ที่ใจที่ไหน มันอยู่ที่ปัจจัยเครื่องอาศัย มันอยู่ที่ลาภสักการะ มันอยู่ที่ชื่อเสียงข้าวของเงินทองมันจะเป็นความสุข”...ก็คิดกันอย่างนั้นไง

เวลามันชราภาพมา เวลามันแก่มันเฒ่าขึ้นมาแล้ว กองเงินกองทองกองอยู่นั่น แล้วมันจะมีความสุขจริงหรือเปล่าล่ะ นี่มันละล้าละลัง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเวลาพลัดพรากไปมันมีสิ่งใดค้ำจุนชีวิตนี้ แต่เราได้ทำบุญกุศลของเรามาเราได้เสียสละของเรามา เราได้ความมั่นคงของชีวิตเรามา มันจะไปไหน...จะไปไหนก็ไปสิ คนเราจะไปด้วยความองอาจกล้าหาญกับคนจะไปด้วยความละล้าละลังมันแตกต่างกันอย่างไร

มันจะเห็นคุณค่าต่อเมื่อเราจะสิ้นสุด เราจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเขาว่าคนตายๆ...มันเปลี่ยนหน้าที่เท่านั้นแหละ จิตมันเปลี่ยนหน้าที่ของมันไป มันจะเปลี่ยนได้ต่อเมื่อมันต้องมีความพร้อมของมัน มันเปลี่ยนต่อเมื่อมันมีบุญกุศลของมันมันถึงได้ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีถ้ามันเปลี่ยนไปด้วยความขาดตกบกพร่อง เราก็ต้องไปหางานทำของเราใหม่ ถ้าเราเปลี่ยนไปโดยที่เราทุกข์เรายากขึ้นไป มันต้องล้มลุกคลุกคลานไป อันนี้มันคืออะไรล่ะ? มันคือการกระทำ นี่คือกรรม กรรมดี-กรรมชั่วไง ถ้าเราทำ เราเห็นคุณค่า

ถ้าเขาบอก “อ้าว! มันไม่มีความสุขความสุขของเราคือหน้าที่การงานคือสิ่งวัตถุปัจจัยเครื่องอาศัยที่เราพอใจ” มันพอใจพอใจแล้วมันพึ่งได้จริงหรือเปล่าล่ะ

มันพึ่งได้มันพึ่งได้ชั่วคราวคำว่า “ชั่วคราว” พึ่งพาอาศัย ปัจจัย๔ เป็นเครื่องอาศัยของชีวิตมันเป็นที่อาศัยมันไม่เป็นความจริง แล้วความจริงอยู่ไหนล่ะความจริง เราแสวงหาความจริงอยู่ไหนล่ะ

ความจริงเห็นไหม ดูสิ ในเมื่อจิตเราจริงเพราะว่าจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดจริง ได้สถานะความเป็นมนุษย์ ชีวิตนี้คือละคร เราได้บทบาทหนึ่งบทบาทชาติหนึ่งแล้วบทบาทชาติต่อไป ถ้าบทบาทชาติหนึ่ง จิตนี้มันเป็นความจริงเพราะมันเวียนว่ายตายเกิดแล้วถ้ามันเป็นความจริง อะไรเป็นความจริงที่เป็นคู่กับมันล่ะ

เป็นความจริงคู่กับมัน สุข-ทุกข์ ความพอใจ-ไม่พอใจ ความพอใจ-ไม่พอใจมันไปเผาลน เผาลนมันก็อ้างเล่ห์“มันทุกข์เพราะมันขาดปัจจัยเครื่องอาศัย มันทุกข์เพราะว่าโลกธรรม ๘ มันทุกข์เพราะคนไม่ยกย่องสรรเสริญ”...มันไปโทษนู่นน่ะ มันไม่โทษตัวมัน

ถ้าตัวมันนะ ไอ้นั่นโลกธรรม ๘ คำสรรเสริญเยินยอเราเขียนได้เต็มบ้านเลย แล้วก็แปะไว้ นี่เขาสรรเสริญเราแล้วมันเป็นไหมล่ะ เพราะไม่มีใครสรรเสริญเรานี่โลกธรรม ๘ ไงเราไปเห็นสิ่งนั้นมันอ้างอิงว่าสิ่งนั้นเป็นความทุกข์ไง

แต่ถ้าจิตใจมันเป็นความสุขล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นศาสดา เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเผยแผ่ธรรม เขาจ้างคนมาด่า เทวทัตจ้างนายแม่นธนูไปยิง มาฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเชิดชูกันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐเราก็เชิดชู เราก็ชื่นชมใช่ไหม แต่คนที่มันไม่เห็นด้วย เห็นไหมเทวทัตจ้างนายมหาธนูไปยิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเอา ๒ คนไปฆ่าตัดตอน เอา ๔ คนไปฆ่าอีก ๒ คนไปฆ่าๆๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมาบวชหมดเลย

นี่ไง เราไปมองว่าปัจจัยเครื่องอาศัย เราไปโทษนั่นไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาด้วย ทำไมคนเขามาจ้างวานฆ่าล่ะ? เพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำคุณงามความดี สิ่งที่ขนาดว่าโลกธรรมมันจะเป็นขนาดไหนแต่ท่านไม่ทุกข์ไม่ร้อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเขาจะมาฆ่า เทศนาว่าการให้เขามาบวช แล้วเทศนาว่าการเขาจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมานี่คนเขาจะมาฆ่าถ้าอย่างเรา คนเขาจะมาฆ่า เราก็ฆ่าเขาตอบสิ นี่คนเขาจะมาฆ่ายังดึงเขา เทศนาว่าการชักนำมาๆจนให้จิตใจเขาเปิดขึ้นมา แล้วให้เขาทำคุณงามความดีของเขาขึ้นมา

พูดถึงถ้ามันเป็นความสุขความสุขจริงที่นี่ไงขนาดปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นความมั่นคงของชีวิต ความสุขมันอยู่ที่นั่น ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่หัวใจของเราเพราะอะไรเพราะจิตใจเรามันหยาบ ยังไม่ละเอียดพอ

ถ้าละเอียดพอ เรามีสติปัญญา ชีวิตนี้ก็ทุกข์ๆ ยากๆ มาพอแรงแล้วล่ะแล้วอะไรมันจะเป็นความจริงกับชีวิตเราล่ะ อะไรที่พึ่งได้จริงล่ะหน้าที่การงานเราก็ทำไป เพราะเราเกิดมาเป็นคนเราเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้อง มันต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิตเหมือนกัน แต่ชีวิตนี้ดำรงไว้ คนที่ละเอียดขึ้นมาชีวิตนี้ดำรงไว้แสวงหาความจริง จิตนี้เป็นความจริง เวียนว่ายตายเกิด มันต้องอาศัยความจริงของมัน

เวลาสติเราศึกษาโดยโลก สติ สมาธิปัญญา สติเราก็ไปดูตำรา สติก็ส.เสือ ต.เต่า สระอิ แล้วตัวจริงมันอยู่ไหนล่ะ แต่เพราะจิตเราละเอียด สติศึกษามาเป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อจะค้นคว้า เราจะค้นคว้าขึ้นมาถ้าเรามีสติ ที่เราคิดได้เพราะเรามีสติเราถึงคิดได้แต่ถ้าเราขาดสตินะ อารมณ์มันรุนแรงมันก็คิดไปตามอารมณ์สัญญาอารมณ์เพราะมีสติมันถึงยับยั้ง ยับยั้งที่มันคิดร้อยแปดพันเก้า ยับยั้งที่มันคิดแล้วมันจะแสวงหา ยับยั้งที่มันจะกว้านโลกนี้เป็นของเรา มันจะกว้านทุกอย่างเป็นของเรา เป็นตัวตนของเราเรามีอำนาจมากจะกว้านมาหมดเลย

พอมันมีสติขึ้นมา “นี่สมบัติบ้า เอ็งจะบ้าแล้วนะ เอ็งจะแบกโลกหรือ”

ทุกคน คำว่า “แบกโลก” พอเรารู้ว่าแบกโลกเราก็จะวางทันทีเราไม่อยากแบกโลก เราอยากอยู่บนโลกนี้ด้วยความสุขของเราแต่เวลากิเลสมันมา มันกว้านมาเพราะมันไปยึดมั่นถือมั่น “นั่นของเรา นี่ของเรา” นั่นล่ะคือแบกโลก ถ้าขาดสติมันก็จะไปแบกโลก

แต่ถ้ามีสติมันก็จะวางวางแล้วเราไม่สนใจใช่ไหม...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนดูสิ คนเราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้แม้แต่พระบวชมาก็ต้องมีปัจจัย ๔บริขาร ๘ คือปัจจัย ๔ เพราะมันจะแสวงหาปัจจัย๔ เพื่อดำรงชีวิต

ฉะนั้น พอเรามีสติ เรายับยั้งได้เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไปโดยหน้าที่การงานเพราะเราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เราเกิดมาเป็นญาติกันนะเรามีชีวิตเหมือนกัน เรามีปัจจัยเครื่องอาศัยเหมือนกัน เราเป็นญาติกันโดยธรรม นี่เป็นญาติกันโดยกรรม มีเวรมีกรรมมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นญาติกันโดยกรรม เราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป แต่เรามีสติปัญญาโลกธรรม ๘ มันซัดมา มันกระทบมารุนแรงขนาดไหน เรายืนเผชิญกับมัน พายุมันจะโหมมาขนาดไหน เรามีสติปัญญานะ พายุมันผ่านพ้นไปชีวิตเราก็ยังอยู่ถ้าพายุมันหักโหมมา เราขาดสติ เรามีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ ล้มลุกคลุกคลานไป ให้พายุมันพัดเราไป ไปตกหน้าผาไหนก็ไม่รู้ จะไปทุกข์ยากที่ไหนก็ไม่รู้พายุอารมณ์ไง

โลกธรรม๘ มันจะพัดมาขนาดไหน ถ้ามีสติปัญญายับยั้งได้ เผชิญหน้ากับมัน พายุจะรุนแรงขนาดไหนบุคคลคนนั้นยังยืนขวางมันอยู่จิตใจเรายังเข้มแข็งสู้กับมัน ถ้าสู้กับมัน มันผ่านพ้นไป นี่ความจริง เห็นไหมสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง พายุมันจะโหมมาขนาดไหนมันก็ต้องผ่านพ้นไปชีวิตยังอยู่ นี่ความจริงไง จิตนี้เป็นความจริงไงความจริงจะเผชิญกับมันไงถ้ามีสติยับยั้งมันได้ ถ้าทำสมาธิขึ้นมาล่ะ จิตที่เป็นความจริงมันต้องการความจริงถ้าศีล สมาธิปัญญาจะเป็นความจริงกับมันความจริงกับมันเพราะอะไรเพราะมันเกิดจากจิตไง

สมาธิเกิดจากไหน สติสมาธิ ปัญญา มันเกิดจากไหน? เกิดจากตาไปอ่านหนังสือ เกิดจากตาไปค้นคว้ามา...ไอ้นี่มันสมอง มันสัญชาตญาณของมนุษย์ นี่สถานะของมนุษย์ มนุษย์ศึกษาได้แค่นี้

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้ามีสติปัญญาเรายับยั้งได้ สติปัญญาของเราจิตของเราสูงกว่าเขา สูงกว่าเขาเพราะอะไร สูงกว่าเขาเพราะเราก็เป็นมนุษย์ เราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราก็ทำหน้าที่การงานของเราใช่ไหมแต่จิตใจของเรามันยังหาความจริงเพื่อมันๆ ไง

แต่โลกพอเขาประสบความสำเร็จในชีวิต เขามีปัจจัย ๔ของเขาแล้ว เขาบอกเขามีความมั่นคงของชีวิตแล้วเวลาเขาจะตายไป เขาจะพลัดพรากจากมันไป เขาไม่มีอะไรพึ่งพาอาศัยเลย เขาก็มีแต่ความกระวนกระวายแล้วสมบัติเขากองอยู่นั่น จิตของเราก็ต้องตายไป

แต่ของเรา เรามีสติปัญญา เราก็แสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต เราก็มีของเรา เราก็ใช้สอยของเราเจ็บไข้ได้ป่วยเราก็เอาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิตเพื่อรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เราใช้สอยของเราเราเลี้ยงดูพ่อแม่ของเรา เราทำบุญกุศลของเรา อันนี้ไม่ใช่ของพ่อแม่...ของเรา เราสละเองจิตใจเราเป็นคนสละเอง จิตใจเราทำของเราเอง ถ้าเราทำของเรา เราเสียสละเพื่อให้จิตใจมันมีปัญญา มันสามารถเสียสละได้ พอจิตใจของมันมีปัญญา มันมีสติของมัน มันคิดได้อย่างนี้ มันคิดได้อย่างนี้นี่คิดแบบโลกๆ นะคิดแบบทาน ศีลภาวนา

ถ้ามันถือศีลล่ะ ดูสิ สิ่งที่มีชีวิตมันวิวัฒนาการของมัน จิตใจของเรามีวิวัฒนาการไหมจิตใจเราเติบโตขึ้นมาไหม จิตใจของเราให้กิเลสมันเหยียบย่ำอยู่นี่ทุกข์ยากอยู่นี่ ให้กิเลสมันครอบงำอยู่นี่ มันไม่เติบโตเลย เหมือนดอกหญ้า มันไม่สามารถแทงขึ้นมาจากพื้นดินได้เลย จิตใจของเรามันไม่มีคุณธรรม ไม่มีความคิดแตกต่างกับกิเลสที่มันคิดอยู่ในหัวใจนี้บ้างเลยหรือ ถ้าจิตใจเรามีสติปัญญา มันมีความคิด เห็นไหม ใบหญ้ามันยังแทงขึ้นมาจากดิน ความรู้สึกดีๆของเรา ปัญญาดีๆ ของเรามันไม่แทงขึ้นมาจากหัวใจของเราบ้างเลยหรือ ถ้ามันแทงขึ้นมาจากในหัวใจ ศีลสมาธิ ปัญญา

ถ้าปัญญาภาวนามยปัญญา มันมีทาน มีศีล มีภาวนา ถ้าเกิดภาวนาขึ้นมา คนที่มีสติปัญญามันแบบว่า ถ้าทางโลกเราต้องหาอยู่หากินทางโลกด้วย เรายังหาเวลามาเพื่อประพฤติปฏิบัติหาเวลามาเพื่อความดีงามของใจของเรา อันนี้เป็นความจริงนะสัจจะเป็นความจริง เวียนว่ายตายเกิดนี่ของจริง จิตนี้เป็นของจริง ของจริงมันต้องได้ศีล สมาธิปัญญา ได้อริยมรรค ได้อาสวักขยญาณตามความเป็นจริงอันนั้น มันถึงจะเป็นประโยชน์อันนั้นแล้วความจริงนี้หาที่ไหน

เราแสวงหากันอยู่นี้เราศึกษากันอยู่นี้เราศึกษามาจากพระไตรปิฎก เราศึกษามาจากโลกียปัญญา เราศึกษามาจากสัญชาตญาณ แต่ความจริงยังไม่มี“ธรรมะเป็นธรรมชาติ”...ธรรมะเป็นธรรมชาติก็จะคว้าเอาใช่ไหมธรรมะเป็นธรรมชาติสัจธรรมมันก็เป็นอยู่ของมันตามความเป็นจริง แต่เป็นของเราหรือเปล่าล่ะ ของที่เป็นสาธารณะกับของที่เป็นส่วนบุคคลมันแตกต่างกันนะ

ของที่เป็นสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ ดูสิธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้เป็นสาธารณะใครมีโอกาส แล้วสาธารณะมีใครทำบ้าง เราเป็นชาวพุทธ เราก็ต้องทำบุญกุศลกัน ไปวัดกัน ก็ระดับของทาน

ดูสิ เวลาสัตว์มันมีลูกของมัน นกมันไปหาเหยื่อหาหนอนมาป้อนลูกมัน มันให้ทานหรือเปล่าสัตว์มันก็ทำได้สัตว์มันก็ทำของมัน ถ้ามันมีปัญญา สัตว์มันเลี้ยงลูกของมันแต่มันไปเอาสัตว์อื่นมาเป็นอาหารของลูกมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เรื่องระดับของทานทาน เราเสียสละได้ เราทำของเราได้ แล้วเรามีสติปัญญาไหม เราจะทำความมั่นคงของจิตไหม ถ้าจิตมันมั่นคงนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ใครทำสมาธิได้นะมันจะมหัศจรรย์มันมีข้อเท็จจริง มีเนื้อหาสาระไงมันไม่ได้มีแต่ทฤษฎี ไม่ได้มีแต่ข่าวลือ

พระพุทธศาสนาทำบุญกุศลแล้วต้องได้บุญมาก คนถามบ่อยมากเลยว่า“ทำบุญกุศลกับพระอริยเจ้าแล้วจะได้บุญมาก ชาวพุทธก็ทำบุญกับพระอริยเจ้า ทำไมเศรษฐีโลกไม่เห็นเป็นชาวพุทธเลย”...เป็น เป็นเดี๋ยวเป็น

เศรษฐีโลกก็เศรษฐีโลกเศรษฐีโลกเขามีปัญญาของเขาเขาก็ทำของเขาเศรษฐีโลก เราไปวัดค่ากันด้วยทางวัตถุไง แต่ถ้าเราวัดค่าด้วยความสุขในหัวใจสิ นี่ทำบุญกับพระอริยเจ้าทำไม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาว่าลัทธิต่างๆ เขามาฉ้อฉล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อภัย ให้ทุกๆอย่างเลย จิตใจที่เหนือกว่า จิตใจที่ยิ่งใหญ่กว่าจิตใจที่มีคุณประโยชน์มากกว่า เขาโกรธ ไม่โกรธตอบเขา เขาทำลายมา ไม่ทำลายเขา มันยิ่งใหญ่กว่าเขา สิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญถ้าสิ่งที่สำคัญสำคัญที่ไหนล่ะ

ถ้ามันเป็นความจริงนะอย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้า กระทบขนาดไหน สิ่งที่กระทบที่เกิดขึ้น รู้ว่าเขาโกรธ แล้วเราก็รู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกใช่ไหม แล้วมันไม่โกรธตอบมันเท่าทัน เท่าทันความรู้สึกนึกคิด รู้ว่าสิ่งนี้ผิด สิ่งนี้ไม่ควรเลย เขาไม่ควรทำเลย เขาพยายามหาบหามบาปกรรมของเขา เราควรบอกเขา แต่ยังบอกเขาไม่ได้เรานิ่งอยู่ จนกว่าเขาแสดงอารมณ์จนเต็มที่ของเขาแล้วนะ แล้วเราค่อยเตือนเขา ถ้าเขาระลึกได้ เขาจะเสียใจมาก แต่ถ้าเขาระลึกไม่ได้เพราะมันหยาบมันหนาเกินไปมันก็กรรมของสัตว์

อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าเพราะพระอริยเจ้ารู้ว่าพูดไปแล้วมันกระทบกระเทือนใครแล้วกระทบกระเทือนมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์แต่ทางโลกเขาต้องแข่งขัน “ต้องมีเหตุผล ต้องคุยด้วยเหตุผลเหตุผลต้องคุยกัน”...คุยกันไปอีกร้อยชาติ เพราะต่างคนต่างเอาทิฏฐิมานะ

ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหมแต่ทางโลกนี่หมากัดกัน กัดกัน จะเอาชนะคะคานกัน แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธมฺมสากจฺฉาเอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แต่มันมีพาลชน คนพาล คนหยาบคนหนามันไม่ฟังเหตุฟังผล

แต่บัณฑิตองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ให้คบคนพาล ให้คบบัณฑิต คนพาลก็คนพาลของเขาถ้ามันพาล มันพาลของมันต่อไป มันพาลจากคนนี้ไป ไปพาลข้างหน้า เดี๋ยวมันต้องไปเจอเข้าสักทีหนึ่งแน่นอน คนพาลมันสร้างกรรมไว้ กรรมต้องให้ผลมันแน่นอน ช้าหรือเร็ว แต่เราเป็นบัณฑิต เราจะเอาความดีของเราไปแลกกับพาลชน? ถ้าเราแลกกับพาลชนนะ

เราหลบหลีกเขา เราหลบหลีก ถ้าหลบหลีกเขาบอกว่า “เป็นภาวะยอมจำนนเรายอมจำนน เราไม่ใช่คนจริง”

จริงกับหัวใจตัวเอง จริงกับสติปัญญาจริงกับการเอาชนะตัวเองให้ได้ การเอาชนะตัวเองประเสริฐที่สุดถ้าประเสริฐที่สุดเราชนะเราแล้วจิตใจทุกๆ ดวงเป็นอย่างนี้หมดถ้าเราชนะใจเราได้ ดูสิ คนที่มันแพ้ใจของมันเองมันถึงทำลายตัวมันเอง แล้วเอาแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจไปให้กับชาติกับตระกูล แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา มันดีในตัวมันเอง

ถ้ามันส่งเสริม มันส่งเสริมทำความดี ความดีมันให้ผลไปแน่นอน ไม่ต้องทำความดีแล้วจะให้ใครมานับหน้าถือตา ให้ใครมายกย่องอันนั้นโลกธรรม๘ ถ้าใครยังตื่นกับโลกธรรม ๘อยู่นั้น คนนั้นยังเป็นเหยื่อ เขาจะเป็นเหยื่อกับโลกแล้วเขาจะโดนเบ็ดเกี่ยวปากแล้วเขาต้องดิ้นไป

แต่ของเรา ถ้าเราไม่ใช่พาลชน สิ่งนั้นมันเป็นสมบัติประจำโลก มันมีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ จิตใจเราสูงกว่า มันเหนือโลก เขาจะพูดอย่างไร จะถูกจะผิด ข้อเท็จจริงมันเป็นข้อเท็จจริงวันยังค่ำ เขาจะพูดอย่างไรมันเป็นทัศนคติของเขา แต่ความเป็นจริงของหัวใจของเรา จิตใจเราสูงส่ง เราถือทัศนคติอันนี้ ถือความจริงอันนี้เป็นสมบัติของเรา เอวัง